สามเอขอบคุณ 4 ผู้มอบโอกาส, ชีวิตดั่งละครของ “ทอนนา” โหมโรงคู่เอก
สามเอขอบคุณ โหมโรงก่อนศึกที่จะระเบิดความมันด้วยเรื่องราวของคู่เอก “สามเอ ไก่ย่างห้าดาว” แชมป์โลกสองจำพวกกีฬา มวยไทยและก็คิกบ็อกซิ่ง
สามเอขอบคุณ สำหรับ “ซ้ายไฟลามทุ่ง” ยอดกำปั้นระดับตำนานมวยไทย วัย 36 ปี ปัดกวาดแชมป์รวมทั้งรางวัลต่างๆมามากมายตลอดชีพ ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เจ้าตัวสารภาพว่ามีหลายส่วนประกอบ รวมทั้งผู้คนเยอะแยะที่ยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือรวมทั้งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
“จำต้องขอบคุณ 3 ผู้มีพระคุณที่สร้างผมมา อีกทั้ง เสี่ยเน้า แล้วก็ เสี่ยโบ๊ท (วิรัตน์-ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ ) ที่เป็นผู้ปลุกปั้น เลี้ยงดูตั้งแต่ผมมาอยู่กับเพชรยินดีฯ ตรงเวลากว่า 10 ปี ก่อนหน้าร่างกายผมไม่ค่อยแข็งแรง แรงต่อยไม่ค่อยมี แต่หลังจากได้รับการดูแลและก็ฝึกหัดอย่างยอดเยี่ยมทำให้ผมหนักแน่นขึ้น”
“ย้อนไปตอนปี 2554-2555 ร่างกายผมดีเยี่ยม ไม่พลาดท่าแพ้ให้ผู้ใดกันเลย ผมก็ได้ ดร.พงษ์ ยอดเยี่ยมแก้วสีไม้ไผ่ (ประธานประธานข้างกระทำการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด) ให้การสนับสนุนผมมาตลอดในชื่อ ไก่ย่างห้าดาว ซึ่งเป็นการให้โอกาสมวยบ้านนอกคนหนึ่งได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น บอกได้เลยว่าบุญคุณของทั้งยังสามท่านชดเชยชาตินี้ก็ไม่มีวันหมด” ข่าวมวยไทย7สี
“อีกคนที่จะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับบุคคลนี้ พี่ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้จัดตั้ง วัน แชมเปียนชิพ และยิม Evolve ท่านเป็นคนที่ให้โอกาสนักมวยที่เลิกต่อยไปแล้วอย่างผมได้มีงาน มีอาชีพ แล้วก็เชื่อใจให้ผมขึ้นสังเวียน ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อปี 2559 ตอนนั้นเป็นช่วงๆที่ภาวะจิตใจผมแย่มาก เพราะว่ามีอาการเจ็บเรื้อรัง ต่อยแพ้หลายครั้ง ทำให้ท้อจนถึงต้องตกลงใจเลิก”
“พี่ชาตรี ได้หยิบยื่นจังหวะให้ผมไปเป็นครูฝึกที่ Evolve ประเทศสิงคโปร์ จากนั้นก็ยังหยิบยื่นโอกาสที่สอง ด้วยการให้ผมกลับมาคืนสังเวียนอีกรอบ ทั้งได้ขึ้นชิงแชมป์โลกด้วย นับว่าเป็นอีกบุคคลที่มีพระคุณกับผมมากมาย เรียกว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตของผมเลยก็ว่าได้”
สามเอขอบคุณ ด้าน “Timebomb” จอช ทอนนา ผู้ท้าแข่งชาวออสเตรเลีย วัย 32 ปี หิวความมีชัยคราวนี้อย่างมาก เพราะเหตุว่าเจ้าตัวทราบว่าสามารถกลับชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งยังจะสร้างชื่อให้กับภูมิลำเนา และก็เป็นแรงจูงใจให้คนภายในชาติของตนได้ด้วย
ทอนนา เกิดและก็เติบโตในกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ท่ามกลางครอบครัวที่แตกสลาย พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เขาอายุเพียงแค่ขวบเดียว รวมทั้งต่างข้างต่างก็สมรสใหม่แทบจะในทันที
เมื่ออายุ 17 ปี หน้าจอชติดตามเพื่อนฝูงไปงานปาร์ตี มีวัยรุ่นมารวมกันแทบร้อยคน และก็บรรยากาศก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยโดยมีการชกเกิดขึ้นเกือบจะทุกๆสิบนาที ท้ายที่สุดหน้าจอชก็กลายเป็นจุดหมายของอันธพาล เมื่อจู่ๆมีคนเข้ามาหาเรื่อง ตัวเขาเองที่ไม่เคยต่อยกับคนใด ถึงกับกลัวจนหัวหด
“หมอนั่นเข้ามาผลักผม แล้วก็ผมกลัวมาก มีเด็กผู้หญิงอยู่บริเวณนั้น ผมก็เลยไปหลบอยู่หลังคุณ ผมขอให้คุณช่วยห้ามจนถึงหมอนั่นสงบลง รวมทั้งยอมขอโทษ แต่อีกประมาณ 15 นาที หมอนั่นก็เอาอีก เขาหาเรื่องผมแล้วก็ผลักผม กระทั่งผมต้องเผ่น ให้ตายสิ เกิดมาไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย”
สามเอขอบคุณ วันรุ่งขึ้น จอชไปพบพ่อซึ่งทำงานเป็นคนคุมที่ไนต์คลับ และเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พ่อจึงชี้แนะให้เขาไปฝึกหัดวิชาป้องกันตัวกับเพื่อนฝูงของเขา “จอห์น เวอร์แรน” ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนฝึกสอนมวยไทยแล้วก็คิกบ็อกซิ่ง หากว่าหน้าจอชพอใจ แต่ว่าเขาก็มิได้ไปที่โรงยิม จนกว่าหกเดือนผ่านไป เขาได้เหยียบไปที่ยิมครั้งแรกก็เกิดติดใจกับศิลป์การต่อสู้ขึ้นมาโดยทันที
หกเดือนต่อไป ช่วงปลายปี 2006 จอชได้ขึ้นเวทีเปิดตัว และมีความคิดว่าตนเองค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะเขาเตี้ยกว่าคู่แข่งขันถึงแทบหนึ่งไม้บรรทัด แถมน้ำหนักตัวก็น้อยกว่ากระทั่งลงแข่งขันรุ่นนี้ไม่ได้ (แม้กระนั้นเขาแอบสวมเสื้อหนาๆและก็ใส่ของลงในกระเป๋าตอนชั่งน้ำหนัก)
“ผมคิดออกว่าตอนมองเห็นเขาบนเวที เขาตัวสูงจริงๆแล้วก็พอเพียงดูไปที่แข้งก็คิดว่า หากโดนเข้าอาจจำต้องเจ็บแหงๆแต่ว่าระหว่างการต่อสู้ ในหัวผมเตียนโล่งไปหมด ผมวิ่งเข้าใส่แล้วก็พยายามอัดเขากระทั่งหล่นลงไปทุกยก ท้ายที่สุดผมชนะคะแนน และก็ เบน เอ็ดเวิร์ด เพื่อนรักของผม (ซึ่งเป็นแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งในเวลาต่อมา) ได้ตั้งฉายาให้ผมว่า Timebomb”
สามเอขอบคุณ ปี 2009 จอชยังคงฝึกซ้อมมวยไทย รวมทั้งลงแข่งในเวทีท้องถิ่น ด้วยความคาดหวังที่กำลังจะได้รับคำชักชวนให้ร่วมรายการ K-1 แต่ว่าในก.พ.ปีนั้น ก็กำเนิดโศกนาฏกรรมขึ้น เขาได้รับโทรศัพท์จากบิดา บอกให้เขารีบมาเจอที่ไนต์คลับที่ซึ่งเขาได้เจอกับโค้ชคราวแรก เมื่อไปถึงบิดาแจ้งข่าวร้ายว่า จอห์น เวอร์แรน หัวใจวายและจากไปแล้ว
“ผมรู้สึกใจสลาย ผมไม่เคยร้องไห้เวลามีใครตาย แม้กระนั้นผมหยุดร้องมิได้เลยเป็นวันๆผมเศร้าใจมากมาย ราวกับเสียบิดาผู้ที่สองไป” เปิดปูมชีวิต
“เจมี แมคคัวอิก” เข้ามาเทกโอเวอร์โรงยิมต่อ ซึ่งตอนนั้น หน้าจอชกำลังฝึกซ้อมเพื่อเตรียมชิงแชมป์ระดับประเทศ ส่วน เบน เอ็ดเวิร์ด สหายของเขากำลังจะได้ชิงแชมป์โลกทีแรก ซึ่งทั้งคู่ได้รับชัย รวมทั้งต่างมอบความสำเร็จนี้ให้กับโค้ชที่จากไป
จอชอยู่กับแมคคัวอิกไม่กี่ปี จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ Stockade Training Center รวมทั้งขึ้นเวทีแข่งสั่งสมกระดูกมวยอย่างสม่ำเสมอ จวบจนกระทั่งได้ครองแชมป์ ISKA ในปี 2015 ซึ่งช่วยปูทางให้เขาก้าวสู่รายการ K-1 ที่ใฝ่ฝัน
เขาเป็นเยี่ยมในผู้ท้าชิง K-1 เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ 2016 รุ่นเฟคุณร์เวต โดยได้ประจันหน้ากับ “ไคโตะ โอซาวา” ในรอบแรก แม้กระนั้นขึ้นเวทีได้เพียงแต่ 57 วินาทีก็ถูกปิดเกมด้วยหัวเข่า ทางร่างกายเขาไม่ได้เจ็บมากมาย แม้กระนั้นด้านจิตใจเขาถึงกับเสียศูนย์ และก็เลิกการแข่งขันไฟต์ถัดไปที่กรุงโตเกียว
ภายหลังจากความปราชัยคราวนั้น หน้าจอชตกอยู่ในภาวะกลัดกลุ้ม เขาไม่มั่นใจว่ายังอยากเดินทางสายนี้ถัดไปไหม แม้กระนั้น เคิร์สตี เมียของเขาเกื้อหนุนให้ก้าวถัดไป แล้วก็เร็วนี้ๆเขาก็ใส่ใจว่าไม่มีอะไรสามารถเติมเต็มชีวิตให้เขาได้ราวกับอย่างมวยไทยรวมทั้งคิกบ็อกซิ่ง
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกลับมาเอาดีทางกีฬาต่อสู้ หน้าจอชตกลงใจพิสูจน์ตนเองในฐานะนักกีฬา วัน ซูเปอร์ ซีรีส์ รุ่นฟลายเวต เมื่อปี 2018 แม้กระนั้นไฟต์แรกเขาก็ถูก “เพชรดำ เพชรยินดีอะคาเดมี” ปิดเกมเร็ว ก่อนจะตีไข่แตกได้ในไฟต์ต่อมา เมื่อขึ้นชกกับคู่แข่งชาวอิตาลี “The Hurricane” โจเซฟ ลาซิรี
ความรู้สึกเก่ากลับมาหลอกเขาอีกครั้ง เมื่อขึ้นสังเวียนไฟต์ถัดมากับดาวรุ่งชาวญี่ปุ่น “ฮิโรกิ อากิโมโตะ” เขาถูกโจมตีเข้าที่เข้าทางชายโครงตั้งแต่ตอน 50 วินาทีแรก กรรมการเริ่มนับถึงแปด ความจำอันไม่ดีจากการแข่งขันชิงชัย K-1 เมื่อแทบสองปีกลายย้อนกลับมาอีกที
“ผมรู้สึกเหมือนว่า ไม่นะ ยังชกได้ไม่ถึงนาทีเลย ผมบอกตนเองแล้วว่าทิ้งตัวไม่ได้”จอชกัดฟันลุกขึ้นมาสู้ แต่ว่าท้ายที่สุดเขาก็พ่ายคะแนนในไฟต์นั้น อย่างต่ำเขาเดินลงจากเวทีด้วยความภูมิใจซึ่งสามารถเอาชนะหัวใจตนเองได้ การรับรองตนเองตอนนั้นกลายเป็นจุดแปลง จอชกลับไปกลับใจขนานใหญ่ โดยฝึกหัดกับผู้ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจแล้วก็กระตุ้นเขาได้
ไฟต์ต่อมาเขาเอาชนะ “Mad Dog” โยชิฮิซา โมริโมโตะ ในเดือนกรกฎาคม 2562 ก่อนที่จะย้ายลงมาชกในรุ่นสตรอว์เวต แล้วก็ล้มแชมป์โลกมวยไทย 5 สมัย “Punisher” แอนดี ฮาวสัน ในก.พ. 2563