เปิดปูมชีวิตของ “อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ” แชมป์โลกผู้ไต่บัลลังก์ด้วยฝีมือล้วนๆ

เปิดปูมชีวิตของ

เปิดปูมชีวิตของ จากนักต่อยที่คนไทยแทบไม่รู้จัก วันนี้ “Babyface Killer” อลาเวอร์ดี รามาซานอฟ เป็นเจ้าบัลลังก์แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นแบนตัมเวต

เปิดปูมชีวิตของ ระยะเวลากว่าหนึ่งปีกับการครองเข็มขัดแชมป์โลกอันทรงเกียรติ กว่าจะมาถึงจุดนี้ อลาเวอร์ดี ผ่านเรื่องราวที่เขาจะต้องต่อสู้มาไม่น้อย รวมทั้งในช่องทางที่เขาจะขึ้นป้องกันตำแหน่งทีแรกกับนักชกไทยอย่าง “กัปปิตัน เพชรยินดีอะคาเดมี” ในศึก ONE: UNBREAKALBE วันศุกร์ที่ 22 เดือนมกราคมนี้ พวกเราก็เลยอยากให้คุณได้ทราบจะแชมป์โลกชาวรัสเซียคนนี้ให้เยอะขึ้น

เปิดปูมชีวิตของ

เกิดที่เมืองกิซล์ยาร์ (Kizlyar) ในดาเกสถานที่ ซึ่งยอดเยี่ยมในเขตการปกครองต้นแบบสาธารณรัฐของประเทศรัสเซีย เขาเติบโตในครอบครัวที่มีพี่สาวและก็น้องสาวอีก 4 คน นิสัยของเขาก็เสมือนเด็กผู้ชายทั่วๆไปเป็น ถูกใจออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนฝูงๆตามถนนหนทางแล้วก็ที่ชุมชน ข่าวมวยไทย7สี

พ่อของ ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเรียน และก็มุ่งหวังว่าลูกชายจะเติบโตไปเป็นหมอ แต่ว่า เองกลับไม่ค่อย พอใจการเล่าเรียน รวมทั้งทำ ให้เกรดของเขาไม่เป็นไปตาม ที่บิดาหวัง

เมื่อแนวทางการ เป็นหมอนั้น ดูเหมือนเกินเอื้อม กีฬาก็เลย เป็นอีกลู่ทางหนึ่ง บิดาก็เลยส่งให้เขาไปที่โรงเรียน สอนมวยสากล แต่ว่าเขาเองต้องการทดลองเล่นมวยปล้ำมากยิ่งกว่า แม้กระนั้นเวลานี้ซึ่งเขาอายุ 9 ขวบ ท้ายที่สุดก็จำเป็นต้องไปจบลงที่กีฬาบาสเกตบอล

“ผู้ฝึกสอนพูดว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะฝึกฝนมวยสากล และก็ชี้แนะให้บิดาพาผมไปเล่นบาสเกตบอล หรือบอลแทน จนกระทั่งผมจะอายุครบ 12 ปี ผมเกลียดบาสเกตบอล เรียกว่าชังเลยก็ได้ ดังนั้นก็เลยเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะทำมันได้ดิบได้ดี แต่ผมก็ฝึกหัดไปงั้นๆ”

เมื่ออายุครบ 12 ปี ไม่ได้ไปเรียนมวยปล้ำ หรือมวยสากลในทันทีทันใด จนถึงผ่านไปสองปี เขาได้รับการชักชวน จากเพื่อนให้ไปทดสอบฝึกหัดมวยไทย ซึ่งเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษ ตั้งแต่คลาสแรก อีกทั้งบรรยากาศการศึกษา การให้ความเคารพและก็สนับสนุนซึ่งกันและกันของเพื่อนร่วมชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “โค้ชอิบราฮิม ฮิดีคอยฟ” ที่สอนให้ศิษย์ได้เห็นคุณค่ารวมทั้งจุดสำคัญของการเรียนรู้ความสามารถการต่อสู้ เจ้าแหลมเตรียม

เปิดปูมชีวิตของ

“เขาเป็นผู้ฝึกสอนที่เก่งมากมาย สำหรับเราเขาเป็นมากกว่าผู้ฝึกสอน แม้กระนั้นยังเปรียบเสมือนพ่อผู้ที่สองด้วย เขาปลูกฝังระเบียบวินัยให้เรา รอจ้ำจี้จ้ำไชว่าพวกเราจะต้องเป็นแชมเปียนทั้งยังในแล้วก็นอกสังเวียน”

“สิ่งที่ผมได้จากการเรียนมวยไทย ช่วยทำให้ผมผ่านผ่านความลำบากในชีวิตบ่อยมาก แล้วก็กีฬายังช่วยทำให้ผมเติบโต มีความมั่นใจ รวมทั้งมองโลกในแง่ดี”

ในระยะแรก ฝึกหัดมวยไทยเพื่อใช้ปกป้องเพียงแค่นั้น แต่ว่าแล้วเขาก็ได้จังหวะขึ้นชกในฐานะนักมวยไทยสมัครเล่นในเวลาถัดมา ซึ่งผลการแข่งขันในตอนแรกเขาแพ้ติดต่อกันถึง 6-7 ครั้ง

แล้วก็แม้ว่าจะแพ้สักจำนวนกี่ครั้ง จุดเด่นของเขาเป็น เขาไม่เคยคิดยกเลิก แต่พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในที่สุดเขาก็สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งระดับภูมิภาค

จากนั้นตอนอายุ 16 ปี เขาคว้าแชมป์ระดับประเทศสำหรับการชิงชัย All-Russia championship ซึ่งเป็นบันไดให้เขาได้เปลี่ยนเป็นนักกีฬากลุ่มชาติ ก่อนจะคว้าชัยชนะ IFMA World Championships ได้อีกสามยุค

ตกลงใจไปสู่การเป็นนักมวยอาชีพโดยทันทีเมื่อเขาอายุพ้น 18 ปี โดยเขาบากบั่นที่จะมองหาความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไป ซึ่งซึ่งก็นับได้ว่าเขาจำเป็นจะต้องได้รับการฝึกหัดมวยไทยจากคุณครูมวยแล้วก็คู่ซ้อมที่เก่งที่สุดในโลก และก็ที่ที่นั้นจะเป็นที่แห่งใดในโลกไปไม่ได้นอกจาก “ประเทศไทย”

“ผมตระเวนหาค่ายมวยต่างๆในประเทศ แต่ว่าสุดท้ายมันก็ไม่ใช่คำตอบในที่สุด จนถึงวันหนึ่งผู้จัดการของผมตกลงใจส่งผมมาที่ค่ายฝึกมวยในกรุงเทพฯ การฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งผมแพ้สำหรับการชิงชัยที่พวกเขาจัดให้ ต่อจากนั้นการปฏิบัติที่พวกเขามีต่อผมก็แปรไปอย่างสิ้นเชิง อย่างกับบากบั่นจะบีบให้ผมออกจากค่าย”

เปิดปูมชีวิตของ โชคดีที่ ยังพอมีสหายๆอยู่ในเมืองไทยบ้าง เพื่อนพาเขาไปสู่ปีกอันแกร่งของกลุ่มเวนัม (Venum) ที่พัทยา และโน่นเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของ “Babyface Killer”

“มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากครับผมกับการอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผมไม่เห็นเป้าหมายในชีวิต มองไม่เห็นโอกาส ไม่รู้จักว่าจะมีประตูบานไหนต้อนรับบ้าง ผมเพียงแค่ทุ่มเทความศรัทธาลงไป และก็ฝึกฝนอย่างมาก เพื่อจะได้มีพื้นที่ของตัวเองในค่ายที่นี้”

ความทุ่มเทของ ท้ายที่สุดมันก็มีผล เขาชนะการแข่งขันในรายการใหญ่ของประเทศไทย จนถึงถูกทาบทามให้เข้ามาอยู่ในสังกัดขององค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง วัน แชมเปียนชิพ ในตุลาคม 2561

ไฟต์แรกบนเวทีโลก เขาก็ได้พิสูจน์ฝีมือกับหนึ่งในนักมวยแถวหน้าของไทยอย่าง “เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเดมี” ซึ่งขณะนั้น เพชรมรกต ยังต่อยอยู่ในรุ่นแบนตัมเวต (65.8 กก.) ก่อนที่จะภายหลังจะปรับขึ้นไปต่อยในรุ่นเฟคุณร์เวต (70.3 กิโลกรัม) ในเวลาต่อมา

เปิดปูมชีวิตของ การแข่งขันครั้งนั้นจัดขึ้นที่ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ในศึกที่มีชื่อว่า ONE: KINGDOM OF HEROES ซึ่งนับว่าเป็นรายการใหญ่ มีคู่เอกที่เป็นไฮไลต์ระหว่าง “ศรีสะเกษ ส.รุ่งวิสัย” ปกป้องแชมป์ WBC กับผู้ท้าแข่งชาวเม็กซิโก “อิราน ดิอาซ” และนักกีฬาระดับแถวหน้าขึ้นชกอย่างแออัด นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของเขาที่ได้ชิงชัยในอีเวนต์เดียวกันกับนักต่อยโด่งดังสุดยอดมากมาย

ผลปรากฏว่าเขาสามารถเปิดตัวอย่างสวยงามโดยเอาชนะ เพชรมรกต ด้วยคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ ช็อกกองเชียร์เจ้าถิ่น รวมทั้งประกาศอำนาจนักมวยโนเนมที่คนไทยแทบไม่รู้จัก ให้กลายเป็นที่จำในชั่วข้ามคืน

“ขณะนี้ เวลาใครแนะนำผม เขาจะกล่าวว่าคนนี้ยังไงที่ชนะ เพชรมรกต จริงๆเขาเป็นไอดอลคนหนึ่งของผมนะ รวมทั้งมันเหลือเชื่อมากที่เขาเปลี่ยนมาเป็นคู่แข่งขันบนเวที ชัยชนะครั้งนั้นถือเป็นก้าวสำคัญที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผมทีเดียว”

เดือนถัดมา ได้ขึ้นสังเวียนอีกทีในฐานะนักมวยขัดตาทัพโดยรู้สึกตัวล่วงหน้าไม่ถึงอาทิตย์ เขาพบกับไอ้หมาบ้า “Maddog” แอนดรู ไม่ลเลอร์ คู่แข่งชาวสกอตแลนด์ รวมทั้งผลปรากฏว่าเขาทำลายสถิติน็อกเอาต์ด้วยเวลาแค่ 57 วินาที

อย่างไรก็ตาม ไฟต์ต่อมาเขาพ่ายคะแนน “เสมาเพชร แฟร์เท็กซ์” แล้วก็ “ก้องศักดิ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม” ไปอย่างเฉียดฉิว และเก็บความมีชัยเหนือ “อ็อกเยน ทอปิค” ไปแบบน็อกเอาต์ ก่อนจะผ่านสายไปชิงบัลลังก์คิกบ็อกซิ่งกับคู่แข่งจอมแกร่งชาวจีนอย่าง “Muay Thai Boy” จาง เฉิงหลง

หลังจากชิงบัลลังก์กันอย่างอย่างดุเดือดห้ายก นักชกจากดาเกสถานก็ได้รับการยกมือ เข็มขัดแชมป์โลก ONE อันมีเกียรติได้พิงอยู่บนบ่าของเขา ช่วงวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ในศึก ONE:

“ผมอ้ำอึ้ง ไม่ทราบจะชี้แจงความรู้สึกในตอนนั้นอย่างไร เข็มขัดเส้นนี้ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นที่รู้จักในระดับโลก และก็เลื่อนฐานะนักกีฬาของตนให้สูงมากขึ้น มันเปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ”

“ในอนาคตผมต้องการพิสูจน์ตนเองเป็นท็อป 5 ของโลกให้ได้ และอยากให้ทุกคนจำผมได้ในฐานะนักมวยที่ปราบคู่แข่งขันชั้นนำและเจ้าตำนานหลายคนบนสังเวียนมาแล้ว”