ขุดต้นตอ จากประวัติศาสตร์ “มวยไทยและก็พม่า” เลียนแบบกันใช่หรือ ?
ขุดต้นตอ “มวย” นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีด้วยกันของเหล่าชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีความแตกต่างจาก “เซปัคตะกร้อ”
ขุดต้นตอ “มวย” นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีด้วยกันของเหล่าชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีความแตกต่างจาก “เซปัคตะกร้อ” ถ้าเกิดแบ่งแยกเฉพาะชาติอาเซียน ที่มีศิลปะการต่อสู้ในรวมแบบของ “มวย” ในแบบของตน สามารถแบ่งออกมาได้ถึง 4 รูป อาทิเช่น มวยกัมพูชา หรือประดัล เสรี , มวยลาว, มวยไทยและก็ มวยพม่า หรือลัดเว่ย
แต่ละชาติล้วนมีรูปแบบ และก็เอกลักษณ์ตัวสะดุดตาต่างกันออกไป (อาจมีเพียงแค่มวยลาวที่คล้ายกับมวยไทย) แม้กระนั้นถ้าหากพูดถึงการมีตัวตนในโลกการต่อสู้ ดูอย่างกับว่า “มวยไทยจะมีชื่อกว่าผู้ใดกันแน่เพื่อนพ้อง
ฝรั่งมังค่าต่างทราบว่า มวยไทยใช้ดูเหมือนจะทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธได้หมด ก็เลยได้รับการยินยอมรับจากประเทศตะวันตก ยกให้เป็นศิลปะการต่อสู้แบบยืนที่อันตรายอย่างยิ่งสุด เพราะว่านอกเหนือจากจะเตะ ต่อย ได้แล้ว ยังสามารถใช้ศอกรวมทั้งหัวเข่าด้วยกันด้วยได้
อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ใ่ช่มวยไทยเพียงแค่นั้นที่ออกอาวุธได้เอ็กซ์ตรีม โหดเหี้ยมสะใจ หากคุณยังไม่เคยทราบกับ “ลัดเว่ยมวยสุดชั่วร้ายผลิตผลทางความคิดของชนชาติเมียนมา ที่ออกอาวุธทุกส่วนได้เหมือนกับมวยไทย และก็เพิ่มความโหดเหี้ยมไปอีกระดับด้วยการไม่ใส่นวม ที่สำคัญ ลัดเว่ยยังสามารถใช้ศีรษะโขกคู่แข่งได้แบบไม่มีข้อตกลง
ตัวการของ 2 ศิลปะการต่อสู้ของไทยและก็พม่า มีที่ไปที่มาเช่นไร ? มีจุดร่วมแล้วก็แตกต่างกันทางประวัติศาสตร์อย่างไร ? แล้วก็เพราะเหตุใด เดฟ เลอดัก ถึงมีความรู้สึกว่ามวยไทยไปคัดลอกมาจากเมียนมา พวกเราจะพาทุกท่านไปย้อนดูจุดเริ่มต้น พัฒนาการ และก็ปัจจุบันนี้ของมวยไทยกับลัดเว่ย ศาสตร์ต่อสู้เพื่อปลิดชีพศัตรู
ประวัติความเป็นมาของ มวยไทย สามารถย้อนกลับไปถึงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีหลักฐานรับรองว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงฝึกหัดทหารในกองทัพ ด้วยศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย แล้วก็ทรงตั้ง “กองเสือป่าแมวมอง” หน่วยรบกองโจรที่ช่ำชองการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และก็มีหน้าที่ในการสู้รบกอบกู้เอกราช เมื่อ พุทธศักราช 2127 หรือค.ศ. 1584
ก่อนเปลี่ยนเป็น ศาสตร์การต่อสู้ยอดนิยม ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระผู้เป็นเจ้าเสือ ผู้ทรงมีพระปัญญาสามารถด้านมวยไทยเพราะฝึกฝนวิชาจากสำนักมวยต่างๆตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ รวมทั้งถูกใจต่อสู้แข่งขันความรู้ความเข้าใจกับเจ้าขุนมูลนายฝรั่งอยู่ตลอด
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติใน พุทธศักราช 2246 หรือคริสต์ศักราช1703 ปรากฏหลักฐานว่า พระผู้เป็นเจ้าเสือ ยังชมการชกมวยไทยอยู่ตลอด และก็ฝึกอยู่เป็นประจำ ท่านก็เลยทรงเป็นผู้คิดท่าแม่ไม้มวยไทย และก็ถ่ายทอดเป็นตำราเรียนให้คนรุ่นใหม่ได้ทำความเข้าใจจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ตอนที่ ลัดเว่ย ก็จัดเป็นศิลปะการต่อสู้ยอดนิยมอย่างยิ่งในหมู่ทหาร รวมทั้งชนชั้นสูงของชาวพม่า ตั้งแต่แมื่อยุคพระผู้เป็นเจ้าอโนรธามังช่อ (ครองบัลลังก์ระหว่าง พุทธศักราช 1587-1620 หรือคริสต์ศักราช1044-1077) กษัตริย์ผู้จัดตั้งอาณาจักรประเทศพม่า และก็ถูกเชิดชูเป็นบิดาของประเทศพม่า
ลัดเว่ย มีสถานะเป็นดั่ง “กีฬาสำหรับนักรบ” ศาสตร์ที่อาวุธทั้งยัง 9 ก็เลยถูกนำมาสอนแก่เหล่าทหาร, เจ้าขุนมูลนาย รวมทั้งองค์รัชทายาท จุดสำคัญของลัดเว่ยในราชสำนักพม่า สืบทอดไปจนกระทั่งกษัตริย์องค์ในที่สุด
ถึงแม้ช่วงปลายของอาณาจักรพม่า ลัดเว่ยแพร่ไปเป็นที่ชื่นชอบหมู่ประชาชนมากยิ่งกว่า กระทั่งราชสำนักจำเป็นต้องประกาศเรียก นักมวยชำนาญไปสู่วัง เพื่อทำการแข่งขันในเทศกาลวาระต่างๆ
นอกเหนือจากที่จะมีจุดเริ่มที่คล้ายกัน ระยะเวลาไทม์ไลน์ใกล้เคียงกันแล้วมวยไทย รวมทั้งลัดเว่ย โบราณกาล ยังเป็นศาสตร์ที่ถูกประยุกต์ใช้เพื่อฝึกฝนนักสู้ รวมทั้งเป็นอาวุธมือเปล่าที่ ไทยกับพม่า ใช้ห่ำหันกันยามสงคราม บ่อยมากที่การต่อสู้จบสิ้นลงด้วยความตายของศัตรู ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดตำนานระหว่างนักสู้มวยไทย แล้วก็นักสู้ลัดเว่ย ที่ต้นแบบที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
เรื่องราวมีชื่อเสียงที่สุดคงหนีไม่พ้น “นายขนมต้ม” นักมวยคาดเชือกจากชาวเมืองศรีอยุธยา แม้กระนั้นเอาชนะนักมวยประเทศพม่า 9-10 คนรวด สร้างความตรึงใจแก่พระผู้เป็นเจ้ามังระ จนถึงถูกปล่อยตัวออกมาร่วมกับจำเลยชาวไทยบางส่วนที่ถูกต้อนระหว่างการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ได้เสร็จ ไม่ว่าตำนานนายขนมต้มจะเกิดเรื่องจริงหรือไม่ ? แต่ว่ามวยไทยและก็ลัดเว่ย ก็ชิงชัยต่อสู้กันมาตั้งแต่กาลสงคราม เมื่อหลายร้อยปีกลาย
ขุดต้นตอ ทั้งสองประเภทกีฬาก็ก็เลยเป็นมรดกทางความคิด แล้วก็ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ ที่ถูกส่งต่อมาจนกระทั่งบรรพชนคนรุ่นใหม่ของไทยรวมทั้งเมียนมา ข่าวมวยไทย7สี
ถ้าเกิดแบ่งแยกเฉพาะชาติอาเซียน ที่มีศิลปะการต่อสู้ในรวมแบบของ “มวย” ในแบบของตน
ขุดต้นตอ พัฒนาการที่สวนทาง การขัดกันระหว่างชาวไทย แล้วก็ชาวพม่า สิ้นสุดลงข้างหลังราชอาณาจักรพม่าถูกครอบครองโดยจักรวรรดิอังกฤษ ใน พุทธศักราช 2428 หรือ คริสต์ศักราช 1885
นับจากนั้น มวยลัดเว่ย ถูกมองดูเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีความอันตราย ผู้ดูแลผู้ดีอังกฤษบัญญัติกฎหมายเด็ดขาดให้จับตัวชาวพม่าที่ฝึกซ้อมลัดเว่ย ช่วงเวลาเดียวกัน นักมวยเปลี่ยนเป็นอาชีพที่ไร้ประโยชน์ มีสถานะไม่ได้ต่างอะไรจากคนร่อนเร่
สวนทางกับลัดเวย มวยไทยกลับเป็นที่นิยมอย่างยิ่งระหว่างยุคล่าอาณานิคม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดแข่งขันชกมวยในราชสำนัก เพื่อความสุขขององค์กษัตริย์
นักมวยโด่งดังในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เป็นต้นว่า หมื่นมวยมีชื่อ จากเมืองไชยา, หมื่นมือแม่นหมัด จากลพบุรี รวมทั้งหมื่นชงัดเชิงชก จากเมืองโคราช ต่างเคยมวยคาดเชือกให้รัชกาลที่ 5 ทอดพระเนตรแล้วทั้งหมด โดย
ความรุ่งเรืองของมวยไทยในสมัยนั้น นำมาซึ่งการทำให้ศาสตร์แห่งอาวุธทั้งยัง 8 เกิดการพัฒนาในทางที่นานัปการ เอามาสู่คำกล่าวที่ว่า “หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา” บอกให้เห็นถึงความต่างของมวยไทยสำนักต่างๆซึ่งมีข้อดีแตกต่างกันไป
ระยะเวลาดังที่กล่าวมาแล้วก็เลยถูกตั้งชื่อว่า “ยุคทองที่มวยไทย” เอามาสู่การพัฒนาสนามมวยที่มีเชือกโอบล้อมตามแบบสากล ใน พุทธศักราช 2464 หรือคริสต์ศักราช1921 เร็วนี้ๆก็เลยเริ่มมีนักสู้จากต่างชาติเข้ามาต่อสู้กับนักมวยไทย ได้แก่ ยัง หาญทะเล กับ จิ๊ฉ่าง นักมวยคนจีนที่มีฝีมือร้ายกาจ
การเข้ามาของคนต่างชาติ แล้วก็วัฒนธรรมตะวันตก นำมาซึ่งการทำให้กีฬาชกมวยไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างช้าๆเริ่มมีการให้ความเอาใจใส่กับคำว่า “น้ำใจนักกีฬา” มากยิ่งกว่าการเตะคู่แข่งขันให้ตายคาเวที
เวทีมาตรฐาน, ผู้ตัดสิน, ผู้ตัดสิน และก็รุ่นน้ำหนัก เริ่มปรากฎขึ้นในกีฬาชกมวยไทย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นใน พุทธศักราช 2472 หรือค.ศ. 1929 หลังจาก นายเจียร์ นักมวยชาวเขมรถูก นายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวยคาดเชือกไทยชก จนถึงสลบค้างเวที แล้วก็เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล นักมวยไทยก็เลยเปลี่ยนแปลงมาต่อยด้วยนวมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในตอนที่ มวยไทยผ่านความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ กระทั่งเปลี่ยนเป็น กีฬาอาชีพที่มีความเป็นสากลเพิ่มมากขึ้น “ลัดเว่ย” กลับยังรักษาเอกลักษณ์เดิมของตนเองไว้อย่างสมบูรณ์ ในฐานะการต่อสู้มือเปล่าที่ดุดัน สามารถออกอาวุธจนถึงคู่ปรับจนตาย แม้ว่าจะมีความเพียรพยายามลดหน้าที่ แล้วก็ขาดการสนับสนุนอย่างนาน
แต่ว่าความไร้มนุษยธรรม ดิบ โหดร้าย ของลัดเว่ย ก็นำมาซึ่งการทำให้กีฬานี้เป็นที่นิยมมากมายในหมู่ชนกลุ่มน้อยของพม่า ดังเช่นว่า คนดอย หรือชาวมอญ พวกเขามักจัดแจงต่อสู้เพื่อเส้นไหว้แก่พระแม่โพสพในตอนกลางคืน ท่ามกลางแสดงบนฟากฟ้า สองนักสู้จะปะทะกันบนกองดินหรือกองทราย ไม่มีเวที ไม่มีเชือก และไม่มีผู้ตัดสิน
มวยลัดเว่ยจะลงเอยด้วยแนวทางเดียวแค่นั้นเป็นการน็อคเอาต์คู่แข่งขัน นี่ก็เลยเป็นการต่อสู้แบบ Last Man Standing ของแท้บนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดผลดีรวมทั้งผลร้ายแก่กีฬาจำพวกนี้ไปพร้อม ในทางมุมหนึ่ง ลัดเว่ย ก็เลยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีความขาดความกรุณาปรานี และก็ดุร้ายมากกว่ามวยไทย เนื่องจากการต่อสู้แบบเอาจริงเอาจังของชาวพม่า ยังคงอยู่มี
ส่วนมวยไทย สามารถใช้ระบบแบ่งยก รวมทั้งนับคะแนนอย่างเป็นทางการเสมือนมวยต่างแดน นับจากมีการสร้างเวทีราชดำเนิน ใน พ.ศ. 2488 หรือค.ศ1945 ความเป็นสากลของมวยไทย นำมาซึ่งการทำให้ศิลปะการต่อสู้เข้าถึงชาวโลกได้กว้างกว่า ปรับปรุงเปลี่ยนเป็นกีฬายอดนิยมในตอนนี้ ส่วน ลัดเว่ยกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ชาวต่างชาติเกือบจะไม่ทราบเลย อันเป็นผลจากการศึก รวมทั้งการปิดประเทศยาวนานหลายทศวรรษ
ทำให้มวยไทยถูกชื่นชมเป็น “กีฬาที่โหดร้ายที่สุด” จากชาวโลก หากแม้เรื่องจริงบางทีอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม เพราะเหตุว่า ลัดเว่ย ยังมีความอำมหิตกว่ามากมาย เหตุเพราะการนับคะแนน หรือการวินิจฉัยโดยผู้ตัดสิน ยังไม่ถูกใช้งานในขณะนี้
การชนะคู่แข่ง จำเป็นต้องใช้ด้วยการน็อกเอาต์ หรือเลิกการประลอง เพียงอย่างเดียว ถ้าเกิดยืนได้ครบยกนับว่าสองฝ่ายเท่ากัน และก็ยังคงยึดลักษณะนี้มาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ การออกอาวุธของ ลัดเว่ย ก็เลยเจตนาให้คู่แข่งขันเสียเลือดมากมาย เนื่องจากว่าลัดเว่ยไม่ยอมรับการใช้นวม แล้วก็เลือกรักษาวัฒนธรรมมวยคาดเชือกไว้
ไม่เหมือนกับมวยไทย ที่ใส่นวม สวมแองเกิล ย้ำใช้อาวุธ 8 เพื่อทำให้คู่ปรปักษ์เสียอาการมวย เสียรูป เพื่อดูว่าคนไหนแข็งแรงรับอาวุธแล้วเก็บความรู้สึกได้ดียิ่งไปกว่ากัน หรือทำ ดราเมท ใส่คู่ปรับได้มากกว่า ก็เลยจะเป็นผู้ชนะ
ความคล้ายคลึงที่ต่างกัน อีกหนึ่งความต่างสำคัญระหว่างมวยไทย และก็ลัดเว่ยเป็นการออกอาวุธที่ฝ่ายหลังมีมากยิ่งกว่า โดยมวยไทยสามารถออกอาวุธได้เพียงแค่ 8 อย่าง ดังเช่นว่า 2 หมัด, 2 ศอก, 2 เข่า และก็ 2 เท้า แต่ว่าลัดเว่ย ถูกเรียกว่า ศาสตร์ที่อาวุธอีกทั้ง 9 ด้วยเหตุว่าการใช้หัวกระแทกถูกนับเป็นเลิศในอาวุธสำหรับเพื่อการต่อสู้
ขุดต้นตอ นอกจาก ความไม่เหมือน แล้วก็ความคล้ายของมวยไทยกับลัดเว่ย ยังลงลึกไปถึงรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การให้ความใส่ใจต่อเบสิคการปลุกปล้ำ, ไล่แขน หรือชินชิง แบบเดียวกันทั้งสอง เตรียมสังสรรค์